“โชเซ่ มูรินโญ่” ยันไม่ตอกกลับคอนเต้หลังโดนวิจารณ์ยับ


กุนซือใหญ่แมนยู ยันไม่ตอบโต้กลับ หลังเจอ อันโตนิโอ คอนเต้ วิจารณ์ยับ ในช่วงคุมทีม สิงโตคราม เมื่อ
ช่วงสองปีก่อน เผยไม่อยากผมร่วงนั่งเครียดอีกครั้ง
สำหรับทางฝั่ง โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกมายืนยันว่า ไม่อยากผมร่วงนั่งเครียดตอบโต้กลับ อันโตนิโอ คอนเต้ นายใหญ่ เชลซี คู่แข่งร่วมลีก ที่ออกมาวิจารณ์ผลงานของตนสมัยกุมบังเหียนถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในช่วงที่ 2ซี (วิจารณ์ผลงานสมัยคุม "สิงห์บลูส์" เมื่อ 2 ปีก่อน) แต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ กุนซือชาวอิตาลียอมรับว่าซีซั่น 2017-18 นี้ "สิงโตน้ำเงินคราม" จะเจองานยากลำบากกว่าเดิมสำหรับภาริกิจป้องกันแชมป์ และกลัวว่าตนเองจะถูกไล่ออกจากตำแหน่งเหมือน มูรินโญ่ ที่เคยนำ เชลซี คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2014-15 แต่กลับถูกปลดออกจากตำแหน่งในอีก 7 เดือนหลังชูถ้วย จากฟอร์มที่ย่ำแย่จนอันดับทีมร่วงไปอยู่ครึ่งล่างของตาราง และจะพยายามเลี่ยงเหตุการณ์เหมือนเมื่อ 2 ปีก่อนให้ได้ พอถูกผู้สื่อข่าวถามหลังเกมอุ่นเครื่องที่ชนะ วาเลเรนก้า 3-0 ที่ประเทศนอร์เวย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มูรินโญ่ ที่เอามือจับผมตัวเองไปด้วยก็ตอบว่า "ผมไม่ทราบ ผมคงตอบได้หลายแบบ แต่ผมคงไม่ยอมผมร่วงเพราะพูดถึง อันโตนิโอ คอนเต้ แน่"
สำหรับ กุนซือชาวอิตาเลียน อันโตนิโอ คอนเต้เก็บคะแนนตั้งแต่เริ่มจนถึงกลางฤดูกาลแรกได้มากกว่าผู้จัดการเชลซีคนอื่นๆ เก็บชัยชนะได้ติดต่อกัน 13 นัด ซึ่งเท่ากับสถิติที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลเดียว ทำให้กุนซือชาวอิตาเลียนรายนี้คว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนตุลาคม, พฤศจิกายน และธันวาคมมาครอง ไม่มีใครที่เคยได้รางวัลนี้ติดต่อกันสามเดือนมาก่อนเลย และอันโตนิโอ คอนเต้ยังได้กลายมาเป็นผู้จัดการ กุนซือทีมคนที่สามของเชลซีที่พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ตั้งแต่ที่มาคุมเป็นฤดูกาลแรก ซึ่งครองตำแหน่งจ่าฝูงของลีกมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน คว้าแชมป์ได้ตั้งแต่ในเกมที่ชนะเวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน 1-0 เมื่อวันที่ 12 พ.ค. นอกจากนี้ยังพาเราเข้ารอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ หลังเอาชนะท็อตแน่มในรอบรองชนะเลิศที่เวมบลีย์ได้ด้วยสกอร์ 4-2 จากผลงานอันโดดเด่น ทำให้คอนเต้ได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ LMA และผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำปีของพรีเมียร์ลีก หนึ่งวันหลังจากที่ทีมได้ชูถ้วยในสแตมฟอร์ด บริดจ์กันไป และในเดือนกรกฎาคม 2017 อันโตนิโอ คอนเต้ได้เซ็นสัญญาใหม่กับสโมสรเป็นระยะเวลา 2 ปี


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

“โปปอฟ” ยื่นใบลาออกกูปรีขอรับผิดชอบผลงานที่พาทีมแพ้


หลังจากผลงานของ ศรีสะเกษ เอฟซี ยังอยู่ในโซนตกชั้นกับอันดับที่ 16 ของตาราง มีอยู่เพียงแค่ 19 คะแนนเท่านั้น ทำให้ล่าสุด เวลิซาร์ โปปอฟ กุนซือชาวบัลกาเรียของ ศรีสะเกษเอฟซี ได้ประกาศขอลาออกรับผิดชอบผลงานทีมแล้วเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา
โดยเกมล่าสุด ศรีสะเกษ เอฟซี เพิ่งจะบุกไปพ่ายต่อ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี 0-3 ทำให้ เวลิซาร์ โปปอฟ ตัดสินใจเข้าพบฝ่ายบริหารและแจ้งความประสงค์ขอลาออกเพื่อรับผิดชอบกับผลงานของทีม
ซึ่ง เวลิซาร์ โปปอฟ ได้เดินทางไปกล่าวอำลาทุกคนในทีมที่สนามซ้อมของ "กูปรีอันตราย โดยกล่าวกับลูกทีมว่า เขาเลือกที่จะตัดสินใจเดินออกไป เพื่อให้ทีมสามารถดำรงอยู่ได้  แม้ตัวเขาจะออกไป แต่ทีมและนักเตะทุกคน ยังคงอยู่ และทีมมีความสำคัญมากกว่านักเตะ หรือโค้ชคนใดคนหนึ่ง พร้อมกับอวยพรให้นักเตะทุกคนประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพ และให้ทีมยังคงหยัดยืนอยู่ในไทยลีกได้ ก่อนที่ โปปอฟได้เดินจับมืออำลานักเตะทุกคน จากกรณีดังกล่าวทำให้ สโมสรต้องดำเนินการหากุนซือรายใหม่เพื่อเข้ามาพลิกวิกฤติของศรีสะเกษเอฟซี โดยในระหว่างนี้ จะใช้โค้ช สุริยันต์ แจ่มแจ้ง จากศรีสะเกษยูไนเต็ด เข้ามาขัดตาทัพไปพลางก่อน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาสักระยะเพื่อจะได้กุนซือรายใหม่

สำหรับ เวลิซาร์ โปปอฟ เข้ามาคุมทีม ศรีสะเกษ เอฟซี ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.60 หรือนัดที่ 7 ของโตโยต้า ไทยลีก 2017 ซึ่ง แพ้ พัทยา ยูไนเต็ด 1-2 (ย), วันที่ 8 เม.ย. 60 เสมอ นครราชสีมา 3-3 (ห), วันที่ 19 เม.ย. 60 แพ้ เอสซีจี เมืองทองฯ 0-3 (ย) วันที่ 22 เม.ย. 60 ชนะ ซุปเปอร์ พาวเวอร์ สมุทรปราการ 1-0  (ห)วันที่ 29 เม.ย.60 แพ้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 0-3 (ย), วันที่ 3 พ.ค. 60 แพ้ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี 2-5 (ย), วันที่ 7 พ.ค. 60 เสมอ สุพรรณบุรี เอฟซี 2-2 (ห) วันที่ 13 พ.ค. 60 แพ้ แบงค็อก ยูไนเต็ด 1-5 (ย), วันที่  17 พ.ค. 60 ชนะ ราชนาวี 4-2 (ห) วันที่ 20 พ.ค. 60 ชนะ ไทยฮอนด้า ลาดกระบัง 3-2 (ย), วันที่ 27 พ.ค. 60 เสมอ การท่าเรือ เอฟซี 2-2 (ห), วันที่ 18 มิ.ย. 60 แพ้ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด 1-2(ห)  วันที่ 24 มิ.ย. 60 เสมอ บางกอกกล๊าส เอฟซี 0-0 (ห), วันที่ 28 มิ.ย.60 แพ้ สุโขทัย เอฟซี 1-2 (ย), วันที่ 2 ก.ค. 60 ชนะ โปลิศ เทโร เอฟซี 2-1 (ห) วันที่  5 ก.ค. 60 แพ้ ชลบุรี เอฟซี 0-1 (ย), วันที่ 9 ก.ค. 60 แพ้ พัทยา ยูไนเต็ด 0-2 (ห) และวันที่ 30 ก.ค.60 แพ้ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี 0-3 (ย) สรุปแล้วคุม ศรีสะเกษ เอฟซี 18 นัด ชนะ 4 เสมอ 4 แพ้ 10

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

“สวาทแคท” สมทบทุนมอบเงินขายตั๋วช่วยน้ำท่วมสองแสนบาท


เทวัญ ลิปตพัลลภ ประธานสโมสร "สวาทแคท" นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี มอบเงินรายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชม ฟุตบอลไทยลีก 2017 นัด 24 ที่เปิดบ้านชนะ "กูปรีอันตราย" ศรีสะเกษ เอฟซี 3-0 เมื่อวานที่ผ่านมา (30 ก.ค.60) แบบไม่หักค่าใช้จ่าย จำนวน 209,390 บาท ช่วยเหลือผู้ประสบภัยหลายจังหวัดในภาคอีสานได้รับผลกระทบในช่วงฤดูฝน เนื่องจากหลายพื้นที่มีฝนตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องหลายวันจนเกิดน้ำท่วม สโมสรนครราชสีมาฯจึงต้องการระดมทุนหาเงินรายได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัย คือที่มาของการนำเงินค่าขายตั๋วชมเกมกับศรีสะเกษฯทั้งหมดเข้าช่วยเหลือ
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ เผยว่า "เกมนี้ถือว่าทีมเราเล่นได้ดี ขอบคุณนักฟุตบอล สตาฟฟ์โค้ช และขอบคุณกองเชียร์ที่มากันค่อนข้างเยอะ ทำให้มีแรงที่จะต่อสู้ รวมทั้งได้รับเงินบริจาคประมาณ 2 แสนบาท หวังว่าจะช่วยบรรรเทาความเสียหายและช่วยพี่น้องชาวอีสานที่ได้รับผลกระทบกับอุทกภัยครั้งนี้"
สำหรับสโมสรฟุตบอลจังหวัดนครราชสีมา (หรือ สโมสรฟุตบอลนครราชสีมา มาสด้า ตามชื่อผู้สนับสนุน) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากจังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันเล่นอยู่ในไทยลีก ฤดูกาล 2560 ได้ใช้สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ความจุ 25,000 คน และสามารถขยายเพิ่มเป็น 45,000 ที่นั่งได้ในอนาคต สมัยก่อนทีมฟุตบอลโคราชที่แข่งโปรลีกฯ มี ฉายาว่า "สตริงเรย์" เหตุเพราะสมัยก่อน กองบิน 1 มีรถถังคอมมานโด สติงเรย์ หรือเรียกอีกชื่อในวงการทหารว่า "เจ้ากระเบนธงจู่โจม" จำนวนมาก และกองทัพบก นำเข้าประจำการมา 106 คัน และ ทีมงานที่ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลสมัยนั้น โดยส่วนใหญ่เป็นทหารอยู่ในกองทัพ จึงได้เลือกใช้ชื่อว่า "นครราชสีมาสตริงเรย์" ต่อมาได้เปลี่ยนโลโก้และฉายาใหม่ ชื่อว่า "สวาทแคท" หรือ "เจ้าแมวพิฆาต" ซึ่งแต่เดิมนั้นโลโก้นครราชสีมาเป็นรูปรถถัง และได้เปลี่ยนเป็นรูปแมวสีสวาดซึ่งเป็นสัตว์ประจำท้องถิ่นโคราช มาจนถึงปัจจุบัน
โดยโปรแกรมแข่งขันนัดครั้งต่อไป นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี จะเล่นฟุตบอล เอฟเอคัพ 2017 รอบ 32 ทีม บุกเยือน แบงค็อก ยูไนเต็ด ทีมร่วมไทยลีก วันที่ 2 สิงหาคม 2560 เวลา 19.00 น. สำหรับรายชื่อนักเตะในชุดปัจจุบันนี้มีดังนี้ วีระ เกิดพุดซา,เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว (กัปตันทีม),เอกณัฏฐ์ คงเกตุ,พีรพัฒน์ พีรกิจ,ชาคริต ระวันประโคน,เมธี ทวีกุลกาญจน์ (รองกัปตันทีม),เปาลู รังเฌล,โดมินิก อาดิเยียห์,ศุภกิจ เนียมคง,วิคเตอร์ อิกโบเนโฟ,นฤพล อารมณ์สวะ,สรานนท์ อนุอินทร์,บรรลือศักดิ์ ยอดยิ่งยงค์,เอกชัย ฤทธิพันธ์,ชนัตพล สิกขะมณฑล,ตฤณ รัตนมงคล,กิตติกร ปังขุนทด,เดชา สร้างดี,อังตูนีอู ปีนา,พีระพงษ์ เรือนนินทร์,ชัยณรงค์ บุญเกิด,ประลอง สาวันดี,กฤษฎา เหมวิพัฒน์,กันตภณ สมพิทยานุรักษ์,อธิบดี เอติรัตน์,ณัฐพงษ์ สายริยา,วราดร อุ่นอาจ,กีรติ เขียวสมบัติ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

“สุริยันต์ แจ่มแจ้ง หรือโค้ชยัน” เปลี่ยนทริคกูปรีเตรียมพร้อมเปิดบ้านต้อนรับ “กิเลน ผยอง”


“โค้ชยัน” สุริยันต์ แจ่มแจ้ง กุนซือขัดตราทัพ กูปรีอันตราย ศรีสะเกษ เอฟซี ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมารับหน้าที่เป็นโค้ชแทนที่แทน “วาลิซ่า โปปอฟ” ซึ่ง “วาลิซ่า โปปอฟ”ยื่นใบลาออกจากศรีสะเกษ เอฟซี หลังทำผลงานไม่เข้าเป้าในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทางด้าน โค้ชยัน หรือ สุริยันต์ แจ่มแจ้ง  เผยถึงการเตรียมทีมที่จะไว้ใช้สู้กับ"กิเลนผยอง"เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ในศึกโตโยต้า ไทยลีก2017 เกมวันอาทิตย์ที่ 6 ส.ค.60 ที่ศรีนครลำดวน เวลา 19.00 น. กล่าวไว้ว่า
“หลักๆคือเราต้องเน้นวินัยเกมรับเป็นสำคัญที่สุด ส่วนสิ่งที่เพิ่มเติมไปนั่นคือต้องลดข้อผิดพลาดให้ได้ ซึ่งหลักๆเราจะยังยึดโครงสร้างเดิมไปก่อน โดยมุ่งเน้นไปที่เรื่องการไม่ฝืนธรรมชาติ ผมไม่รู้ว่าที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นในทีมบ้าง เพราะผมทำหน้าที่ในตำแหน่งเฮดโค้ชศรีสะเกษ ยูไนเต็ดในศึกที4 ส่วนใหญ่โปรแกรมแข่งขันตรงกัน แต่การเข้ามาทำทีมของผมในครั้งนี้ คงไม่เน้นความถนัดของผู้เล่นแต่ละคนเป็นหลัก ใครถนัดตำแหน่งไหน ก็ยึดตำแหน่งนั้นไปเลย ไม่มีการนำซ้ายไปเล่นขวา นำขวาไปอยู่ซ้ายอะไรทำนองนั้น เน้นตำแหน่งที่ถนัด น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของทีมศรีสะเกษ เอฟซีในตอนนี้ เรารู้ว่าเราเป็นรองทีมเอสซีจี เมืองทอง แต่การเน้นวินัยเกมรับน่าจะทำให้เรามีโอกาสลุ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย”
สำหรับ สุริยันต์ แจ่มแจ้ง หรือ โค้ชยัน  คุมทีมศรีสะเกษ ยูไนเต็ด ทีมในยูโร่เค้ก ไทยลีก 4 ฤดูกาล 2017 โชว์ฟอร์มเยี่ยม ซึ่งมาเป็นกุนซือขัดตาทัพทีมกูปรีอันตรายศรีสะเกษ เอฟซี แทนโค๊ชโอ่งดุสิต เฉลิมแสน ที่ถูกเด้งออกจากทีมกูปรีอันตรายเซ่นพาทีมพ่าย 3 นัดรวด รั้งบ๊วยไทยลีก และก็ไม่ผิดหวังเมื่อโค๊ชสุริยันต์ แจ่มแจ้ง พาทีมกูปรีอันตรายเปิดบ้านทุบ ทีมค้างคาวไฟสุโขทัย เอฟซี ไปอย่างสนุก 3-1 ประตูโดยถือเป็นการปลดล็อคชัยเกมแรกของ"กูปรีอันตราย"ในซีซั่นนี้ด้วยในเมื่อวันที่ 4 มี.ค.60 ที่ผ่านม านี้เองโค๊ชสุ ริยันต์ แจ่มแจ้ง ทำงานทีมฟุตบอลจังหวัดศรีสะเกษมามากมาย ทั้งการเป็นเฮดโค้ชชุดเยาวชนโค้กคัพ ,ทีมศรีสะเกษ ยูไนเต็ด ทีมในยูโร่เค้ก ไทยลีก 4 และยังเป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย หลังอยู่ในชุดเยาวชน 16 ปี คว้าแชมป์เอเชีย เมื่อปี 1998 ที่ประเทศกาตาร์ รวมไปถึงคว้าสิทธิ์ไปเล่นเยาวชน 17 ปี ชิงแชมป์โลกที่ประเทศอียิปต์


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

3 ทางเลือกลิเวอร์พูลหลังเลิกสนเกออิต้า


1. โอริโอล โรเมอู   ลิเวอร์พูล ชื่นชอบบรรดานักเตะพรสวรรค์ของ เซาธ์แฮมป์ตัน หลายราย แน่นอนว่า โรเมอู ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่พวกเขาสนใจ แม้ ดาวเตะเลือดสแปนิช อาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องการผ่านบอล และการเคลื่อนที่หาช่องว่าง แต่ในฐานะผู้เล่นที่ยืนปักหลักอยู่หน้าแบ็กโฟร์ และเข้าสกัดแบบถึงลูกถึงคน จึงถือว่าเหมาะกับ ลิเวอร์พูล อย่างมาก โรเมอู ถือว่าเป็นผู้เล่นที่คุณภาพเลยทีเดียวเพราะเคยเป็นดาวรุ่งให้กับ บาร์เซโลน่า และ เชลซี ที่สำคัญหากนักเตะย้ายมาจริงๆ ก็สามารถเข้ามาเติมเต็มจากการที่ ลิเวอร์พูล เพิ่งปล่อยตัว ลูคัส เลว่า กองกลางชาวบราซิเลียนให้กับ ลาซิโอ ช่วงซัมเมอร์นี้ สิ่งที่น่ากังวลอย่างเดียวก็คือ "นักบุญ" จะยอมเจราจาปล่อยตัวนักเตะย้ายมาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์หรือเปล่า หลังพวกเขาไม่พอใจอย่างแรงจากกรณีที่ ลิเวอร์พูล เคยแอบคุยกับ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กองหลังชาวดัตช์ จนต้องร้องเรียนกับพรีเมียร์ลีกมาแล้ว
2. เรนาโต้ ซานเชส  หากเป็นเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แนวคิดเรื่องที่ เรนาโต้ ซานเชส จะย้ายมาเล่นกับ ลิเวอร์พูล คงโดนหัวเราะเยาะกันระงม แต่หลังจากฤดูกาลที่แสนผิดหวังกับ บาเยิร์น มิวนิค ทำให้ ดาวรุ่งชาวโปรตุกีส เริ่มคิดเรื่องการย้ายทีมอีกครั้ง แน่นอนว่า เชลซี แสดงความต้องการอยากได้ ซานเชส ไปร่วมทีม แต่ "เดอะ เร้ดส์" ก็พร้อมที่จะทำศึกแย่งชิงนักเตะเช่นกัน โดยดาวเตะวัย 19 ปี น่าจะเหมาะกับแนวคิดของ คล็อปป์ ที่เน้นผู้เล่นดาวรุ่ง ซึ่งสามารถหล่อหลอมเข้ากับสไตล์การเล่นที่เน้นเพรสซิ่งสูงของเขาได้เป็นอย่างดี

3.  มาร์โก กรูยิช  กรูยิช ย้ายจาก เรด สตาร์ เบลเกรด มาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนที่จะโดนส่งกลับไปเล่นให้ทีมเก่าแบบยืมตัว และต้องเจอกับฝันร้ายได้รับบาดเจ็บหนักเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้เขาไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามให้ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ คล็อปป์ อาจจะกังวลเกี่ยวกับ กรูยิช ในเรื่องการเล่นเกมรับ แต่ในเรื่องพรสวรรค์แน่นอนว่าไม่มีใครสงสัยในตัวของนักเตะรายนี้ ล่าสุด แข้งวัย 21 ปีเพิ่งจะทำผลงานได้อย่างโดดเด่นให้กับ "เดอะ เร้ดส์" ในช่วงอุ่นเครื่องปรีซีซั่นซัมเมอร์นี้  แน่นอนว่าศักยภาพของนักเตะค่อยๆ ฉายแสงออกมา และมีโอกาสที่จะเบียดแย่งตำแหน่งของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ เอ็มเร่ ชาน ได้ในอนาคต ที่สำคัญ กรูยิช เป็นนักเตะของพวกเขาอยู่แล้ว ฉะนั้นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

5 ประเด็นที่มองได้จากเกม แมนยู พ่าย บาร์เซโลน่า 0-1


    1. แมนฯ ยูไนเต็ด ยังต้องการสตาร์เพิ่มอีก
               ในซัมเมอร์นี้ โชเซ่ มูรินโญ่ ดึงนักเตะมาเสริมทัพแล้ว 2 รายคือ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ปราการหลังชาวสวีเดน กับ โรเมลู ลูกากู กองหน้าทีมชาติเบลเยียม แต่ดูแล้วยังไม่พอ หากต้องการที่จะกลับไปทวงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง  บาร์ซ่า มีนักเตะอย่าง เนย์มาร์ ที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับเกม และ "ปีศาจแดง" ก็ต้องการนักเตะแบบนี้ หรือจะให้ดีก็ท้าแข่งกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในการยื่นข้อเสนอ 197 ล้านปอนด์ คว้าตัว เนย์มาร์ มาร่วมทีมเสียเลย
    2. ดาบิด เด เคอา และ เซร์คิโอ โรเมโร่ เหนียวหนึบไว้ใจได้ทั้งคู่
             แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ต้องกังวลกับตำแหน่งผู้รักษาประตูอีกแล้ว หลังมีทั้ง เด เคอา และ โรเมโร่ โดยครึ่งแรกนายด่านสแปนิช โชว์ฟอร์มเซฟสุดยอด เพราะถ้าไม่มีเขาคงโดนยิงมากกว่า 1 ลูกอย่างแน่นอน  ขณะที่ โรเมโร่ ลงมาครึ่งหลังก็ทำได้ตามมาตรฐาน ส่งผลให้ตำแหน่งนี้น่าจะทำให้ มูรินโญ่ สบายใจที่สุดแล้ว
    3. เนย์มาร์ ดูไม่เหมือนนักเตะที่ต้องการย้ายจาก บาร์ซ่า
              กองหน้าแซมบ้า ระเบิดฟอร์มสุดยอดตั้งแต่นัดที่ บาร์ซ่า ชนะ ยูเวนตุส ก่อนมาเล่นได้ดีเหมือนเดิมในนัดนี้ โดยไม่ได้ดูเหมือนนักเตะที่ไม่มีความสุข และต้องการย้ายทีมเลย เนย์มาร์ ทำให้ อันโตนิโอ วาเลนเซีย ต้องเสียคน หลังพยายามครองบอลในกรอบเขตโทษ แต่โดนดาวเตะบราซิเลียน ฉกไปยิง ด้วยฟอร์มแบบนี้ ทำให้จะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลย หาก เนย์มาร์ ก้าวขึ้นไปเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงสุดในโลกคนใหม่
    4. มาร์คัส แรชฟอร์ด พร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์   
             กองหน้าดาวรุ่งวัย 19 ปี ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในการมาทัวร์ที่สหรัฐฯ และดูเหมือนจะดีที่สุดในทีมด้วยซ้ำ ทำให้ในซีซั่นใหม่น่าจะได้รับโอกาสจาก มูรินโญ่ มากขึ้น แรชฟอร์ด โชว์ฟอร์มโดดเด่นนับตั้งแต่ทะลุขึ้นมาเล่นกับ "ปีศาจแดง" ชุดใหญ่ เมื่อ 17 เดือนที่แล้ว จนมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษเรียบร้อย ขณะที่ซีซั่นหน้าเจ้าตัวน่าจะมีบทบาทสำคัญกับทีมมากขึ้นหลัง เวย์น รูนี่ย์ ย้ายกลับไปร่วมทัพ เอฟเวอร์ตัน ส่วน ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ไม่ได้รับการต่อสัญญา
    5. ป็อกบา-ลูกากู ประสานงานได้แข็งแกร่ง 

              สองนักเตะที่เป็นเพื่อนสนิทกัน และมีค่าตัวรวมกัน 164 ล้านปอนด์ เริ่มที่จะจูนกันในสนามได้ติดแล้ว และน่าจะเป็นคู่หูที่ช่วยกันทำประตูได้อย่างถล่มทลายในฤดูกาลหน้า  ในเกมนี้ ป็อกบา จ่ายให้ ลูกากู สวยๆ หลายครั้ง แต่กองหน้าเบลเยียม ไม่สามารถเจาะแนวรับที่แน่นหนาของ บาร์ซ่า ไปได้ 

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

5 สาเหตุ อยู่ๆลิเวอร์พูลฟอร์มดีอัดบาเยิร์น 3-0 ยับคาบ้าน


   1) ฟูลแบ็กสองข้าง เล่นดีมหัศจรรย์
            เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ การันตี 11 ตัวจริงแน่นอน ด้วยฟอร์มแบบนี้ ส่วนหนึ่งเพราะนาธาเนียล ไคลน์เจ็บอยู่ แต่หายกลับมาก็ใช่ว่าจะแย่งเทรนต์ได้ แบ็กขวาวัย 18 ปี เล่นเกมรับได้สุดยอดมาก ทำให้ฟรองค์ ริเบรี่ และ ดาวิด อลาบา สองตัวทีเด็ดฝั่งซ้ายของเสือใต้เล่นไม่ออกเลย ขณะที่ แบ็กซ้าย อัลเบร์โต้ โมเรโน่ น่าจะเป็นเกมที่เขาเล่นได้ดีที่สุด ในสีเสื้อลิเวอร์พูล ก็ว่าได้ เกมรับแข็งแกร่ง การโอเวอร์แล็ปทำได้ถูกต้อง และประตูที่ 2 ที่ทีมได้มาก็เริ่มต้นจากเขา แถมเกือบยิงฟรีคิกเข้าด้วย ด้วยฟอร์มแบบนี้ โมเรโน่ จะได้อยู่กับทีมต่อ และขับเคี่ยวตัวจริงกับแอนดี้ โรเบิร์ตสัน ในตำแหน่งนี้ 
    2) ชัยชนะปรีซีซั่น ยังวัดอะไรไม่ได้ 
             ลิเวอร์พูล เล่นดีเสมอ และมีฟอร์มสวยๆตลอด ในช่วงปรีซีซั่น ย้อนกลับไป ในปี 2014 ลิเวอร์พูลถล่มดอร์ทมุนด์ ในเกมปรีซีซั่น 4-0 แต่สุดท้ายจบอันดับ หรืออย่างซีซั่นที่แล้ว หงส์ถล่มบาร์เซโลน่า 4-0 ที่เวมบลีย์ แต่สุดท้ายก็จบได้แค่อันดับ ดังนั้น การชนะบาเยิร์น มิวนิค 3-0 อาจเป็นเรื่องสวยงาม แต่ยังวัดอะไรไม่ได้มาก เพราะบาเยิร์น ปรีซีซั่นก็ไม่ได้ฟอร์มดี พวกเขาแพ้เอซี มิลาน 0-4 และแพ้ อินเตอร์ 0-2 การจะมาแพ้หงส์แดงอีกทีม ก็ไม่ได้แปลกอะไร  อย่างไรก็ตาม ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ และ ถึงตรงนี้ ลิเวอร์พูลเล่นปรีซีซั่นไปแล้ว 6 เกม ชนะ 5 เสมอ 1 สถิติสวยทีเดียว
    3) ฟีร์มีโน่ เป็นกองหน้าที่เหมาะที่สุด ในสไตล์คล็อปป์
             5 เกมแรก ในปรีซีซั่น ฟีร์มีโน่เล่นแย่มาก เขามีโอกาสจบสกอร์จะจะ นับไม่ถ้วน แต่ยังยิงไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว  มีคำถามเยอะว่า ฟีร์มีโน่ คู่ควรหรือไม่ ที่จะออกสตาร์ตเป็นตัวจริง บางทีสเตอร์ริดจ์ หรือ โซลันกี้ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
             แต่ในเกมนี้ ฟีร์มีโน่ ทำให้เห็นว่า เขาเป็นหัวหอกที่เหมาะสมกับแผนการเล่นมากที่สุด ฟีร์มีโน่ เป็นหัวหอกแบบ ฟอลส์ไนน์ คือล้วงบอลต่ำ บางครั้งเล่นเหมือนกลางรุก หน้าที่ของเขา คือการพักบอล และจ่ายออกซ้ายขวาให้มาเน่ หรือ ซาลาห์ ถ้ามีจังหวะเหมาะๆค่อยยิงเอง และเกมนี้ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก มีจังหวะแย่งบอลสวยๆจากเท้าคู่แข่งให้เห็นหลายที
    4) มิดฟิลด์ลงตัว อาจไม่ต้องการเกอิต้าแล้ว 
            ในระบบ มิดฟิลด์ตัวกลาง 2 คน คล็อปป์เลือกใช้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ เอ็มเร่ ชาน ในครึ่งแรก และเปลี่ยนใช้ ไวจ์นัลดุม กับ มาร์โก กรูยิช ในครึ่งหลัง เราจะเห็นว่า คล็อปป์ให้อิสระในการเล่นเกมรุก กับ 4 ตัวบน (ซาลาห์,มาเน่,คูตินโญ่,ฟีร์มีโน่) ดังนั้น มิดฟิลด์ตัวกลาง ต้องเล่นเกมรับอย่างมีวินัยมากๆ และไม่เติมขึ้นบ่อยๆ ซึ่งทั้ง 4 คน ที่ลงมา ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ยังเดายากว่า ชาน-เฮนโด้-ไวจ์นัลดุม ใครจะยืนเป็นตัวจริงในเกมพรีเมียร์ลีกนัดแรก ขณะที่กรูยิช อาจต้องรอโอกาสก่อน แต่ดูจากฟอร์มในเกมเสือใต้ เขาเล่นใช้ได้ และควรจะมีชื่อบนสกอร์บอร์ด ถ้าอดัม ลัลลาน่าไม่ยืนในตำแหน่งล้ำหน้าเสียก่อน
    5) มาเน่ กับ ซาลาห์ คู่ดูโอมหาประลัย
             มาเน่ ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่า พร้อมจะให้ซาลาห์ยืนฝั่งซ้ายที่ถนัด ส่วนตัวเขาเล่นตรงไหนก็ได้ในสนาม นัดนี้ คล็อปป์จัดมายืนปีกขวา และเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่สองคนนี้ ออกสตาร์ตเป็น 11 ตัวแรกพร้อมกัน  มาเน่ ทำให้เห็นแล้วว่า เขาเล่นฝั่งซ้ายได้ ไร้ปัญหาจริงๆ ประตูแรก เขาโชว์ความเร็ว ก่อนจบด้วยเท้าซ้ายเสียบเสาสองเหนือๆ ก่อนที่ ลูกสอง จะไขว้บอลให้โมเรโน่ เติมขึ้นครอสเข้ากลาง ก่อนเป็นซาลาห์โหม่งเข้าไป  บอกได้เลยว่า มาเน่ มายืนฝั่งซ้ายก็อันตรายมาก เล่นดีไม่แพ้ฝั่งขวา ขณะที่ซาลาห์ พอมายืนตำแหน่งที่ตัวเองถนัดก็ระเบิดผลงานออกมาเรื่อยๆ  ซาลาห์ ลงเล่น 5 นัด ในช่วงปรีซีซั่น กดไปแล้ว 4 ประตู นี่แสดงให้เห็นว่า เขาปรับตัวไวมาก และด้วยฟอร์มแบบนี้ มาเน่ กับซาลาห์ จะออกสตาร์ตเป็นตัวจริง ในเกมแรกที่วัตฟอร์ดแน่นอน 



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

5 สาเหตุเน้นๆว่า ทำไม เกอิต้า สุดท้ายร่วมทัพหงส์


1) เกอิต้า ก่อเรื่องเสียบเพื่อนในสนามซ้อม 
             ระหว่างการซ้อมตามปกติกับทีมไลป์ซิก ในแคมป์ที่ออสเตรีย เกอิต้า ไปเสียบใส่ดีเอโก้ เดมเม่ เพื่อนร่วมทีมอย่างหนัก จนลงไปกลิ้งกับพื้น ด้วยความเจ็บปวด จนเทรนเนอร์ของทีมสั่งยกเลิกการซ้อมทันที พร้อมสั่งให้นักเตะกลับที่พัก โดยข่าวล่าสุด เดมเม่ อาจจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล  บรรยากาศ ในเวลานั้นเป็นไปอย่างมาคุ ซึ่งบางที ถ้าสถานการณ์มันเลวร้ายลงไปกว่านี้ เจ้าตัวอาจไม่แฮปปี้ที่ต้องอยู่ไลป์ซิกต่อ
 จริงอยู่ โค้ชอาจออกมาบอกว่า ไม่มีอะไรแล้ว แต่ใครจะรู้ว่ามีปัญหาอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
2) แอฟริกันเนชั่นส์คัพ ไม่จัดมกราคมอีกแล้ว 
          มีการพูดถึงเยอะว่า หงส์แดง ไม่อยากซื้อนักเตะจากทวีปแอฟริกามากนัก เพราะถ้าถึงโปรแกรม แอฟริกันเนชั่นส์คัพ นักเตะจากทวีปนี้ก็จะหายกันไปหมด และลิเวอร์พูลก็จะมีศักยภาพยวบลงไป  คล้ายๆกับกรณีของมาเน่ เมื่อมกราคมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลมีนักเตะจากแอฟริกาเยอะอยู่ไม่ว่าจะเป็น โจเอล มาติป ,ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เท่ากับว่า จะเสียนักเตะเหล่านี้ไปหมด รวมถึงเกอิต้าอีกคนถ้าย้ายมา ก็เท่ากับว่าตัวหลักหายไป 4 ราย ดังนั้น จึงมีข่าวว่าหงส์ดูจะชั่งใจถ้าจะซื้อตัวหลักเป็นคนแอฟริกัน 
         แต่ล่าสุด จากการที่ศึกเนชั่นส์คัพ จะเลื่อนไปจัดช่วงมิถุนายน-สิงหาคมแทน นั่นทำให้ นักเตะแอฟริกัน ไม่ต้องเดินทางไปกลางซีซั่นอีกแล้ว และหงส์แดง ก็สามารถใช้งานได้ทั้งฤดูกาล ซึ่งก็ถือเป็นการเคลียร์อีกหนึ่งปัญหาเล็กๆไปได้เหมือนกัน
3) เกอิต้า กับ มาเน่ มีเอเยนต์คนเดียวกัน 
            ในยุคนี้ เอเยนต์ มีบทบาทในการชักจูงนักกีฬา และช่วยทำตามความปรารถนาของนักเตะได้ด้วย ซึ่งเกอิต้า กับซาดิโอ มาเน่ ทั้งสองคน มีความสนิทกันอยู่แล้ว ทั้งคู่เป็นคนแอฟริกันเหมือนกัน แถมยังมีเอเยนต์ส่วนตัวคนเดียวกันอีก คือ บียอร์น เบเซเมอร์ ซึ่งเอเยนต์รายนี้ มีความสัมพันธ์อันดีกับหงส์แดง บางทีอาจจะช่วยเคลียร์ทาง การโยกย้ายได้สะดวก
4) เกอิต้า มาฟอลโลว์ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ 
       พฤติกรรมในโซเชียล เน็ตเวิร์ก เป็นเรื่องน่าจับตา เกอิต้า อยู่ๆไม่มีปี่มีขลุ่ย ก็ไปกดติดตามใน IG ของมาเน่ กับ ฟีร์มีโน่ ซะอย่างนั้น ซึ่งการที่นักเตะมากดไลค์ ผู้เล่นของทีมแบบนี้ เหมือนจะมีนัยยะอะไรบางอย่าง 

5) ลิเวอร์พูลเคลียร์กองกลางเพื่อการมาของเกอิต้า
        หงส์แดง ปล่อยลูคัส เลว่า ที่อยู่กับทีม 10 ปีไปลาซิโอ และปล่อย เควิน สจ๊วร์ตไปฮัลล์ ซิตี้ นั่นแสดงให้เห็นว่า ทีมจะขาดผู้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์  จริงอยู่ยังมีเฮนเดอร์สัน ,ไวจ์นัลดุม และ เอ็มเร่ ชาน แต่อย่าลืมว่า ชาน ก็จะหมดสัญญาในปีหน้า ขณะที่ผู้เล่นอีกหลายคน ก็ยังไม่แน่ว่าจะพร้อมเล่นในตำแหน่งนี้ 
      เบน วู้ดเบิร์น เพิ่งถูกจับมายืนมิดฟิลด์ปรีซีซั่นนี่เอง ขณะที่อดัม ลัลลาน่าก็ดูเป็นตัวรุกมากกว่า ขณะที่มาร์โก กรูยิช ยังดูเป็นดาวรุ่ง  ดังนั้น เมื่อทีมเคลียร์พื้นที่ขนาดนี้แล้ว มันแปลว่า พวกเขาพร้อมจะทุ่มซื้อนักเตะมาเสริมตรงจุดนี้แน่ๆ


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

7 เหตุการณ์ตัวอย่างที่ต้องถูกจดจำไว้


    1. กรีซ ช็อกโลกคว้าแชมป์ยูโร 2004
                ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 เกิดเหตุการณ์พลิกล็อกครั้งใหญ่ หลังทีมรองบ่อนอย่าง กรีซ สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ   กรีซ มีอัตราต่อรองคว้าแชมป์ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์อยู่ที่ 150-1 ก่อนจะกรุยทางไปครองแชมป์ ด้วยการเอาชนะ โปรตุเกส ในรอบชิงชนะเลิศ
    2. ทีมคริกเกตอังกฤษ พลิกล็อกชนะ ออสเตรเลีย
               ทีมชาติอังกฤษ ตกเป็นรอง ออสเตรเลีย ถึง 500-1 เมื่อปี 1981 แต่ เอียน บอตแฮม สามารถพาทีมกลับมาเอาชนะได้อย่างเหลือเชื่อ
    3. เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015-16
             บริษัทรับพนันถูกกฎหมายออกอัตราต่อรองที่ เลสเตอร์ จะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2015-16 ไว้ก่อนเปิดฤดูกาลถึง 5,000-1 (แทง 1 จ่าย 5,000 ไม่รวมทุน)  "สุนัขจิ้งจอก" ทำผลงานได้อย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่อัตราต่อรองจะลดลงเรื่อยๆ โดยเดือนกันยายนเหลือ 1,500-1; ตุลาคม: 1,000-1; พฤศจิกายน: 500-1; ธันวาคม: 66-1; มกราคม: 16-1 จนมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ก็เหลือแค่ 7-1 เท่านั้น ก่อนเข้าป้ายคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ทำให้มีเซียนพนันจำนวนมากได้เฮ ขณะที่บ่อนก็ต้องจ่ายเงินก้อนโตไปตามระเบียบ
    4. ม้าแข่ง 25,000 ต่อเข้าวินเฉย
                ในปี 1996 เซียนพนันที่มีชื่อว่า ดาร์เรน เยตส์ ได้เงินเข้ากระเป๋า 550,000 ปอนด์ (ประมาณ 24.2 ล้านบาท) หลังวางไปแค่ 2 ปอนด์ (ประมาณ 88 บาท) จากอัตราเดิมพัน 25,000-1 ว่า เจ้าม้า แฟร้งกี้ เดตโตรี่ จะคว้าแชมป์ 7 รอบภายใน 1 วัน
    5. ใครจะเชื่อ มาลี ตาม 4 ลูกกลับมาตีเสมอ
              ในศึก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชันส์ ปี 2010 มีเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อ หลังจากทีมชาติมาลี ตกเป็นฝ่ายตามหลัง แองโกลา เจ้าภาพถึง 0-4 แต่สามารถกลับมาตีเสมอ 4-4   บริษัทรับพนันออกราคาไว้ถึง 1,000-1 ตอนที่ มาลี ตาม 4 ลูกว่าจะกลับมาเสมอได้ และก็มีคนเข้ามาแทงเสียด้วย
    6. ชาบี อลอนโซ่ ยิงไกลเกินครึ่งสนาม
               ในสมัยที่ ชาบี อลอนโซ่ กองกลางชาวสเปน ยังเล่นให้ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2005 นั้น บริษัทรับพนันได้เปิดราคาที่เขาจะยิงไกลเกินครึ่งสนามตลอดทั้งฤดูกาลไว้ที่ 125-1 (แทง 1 จ่าย 125 ไม่รวมทุน)  และแล้ว อลอนโซ่ ก็ทำได้จริงๆ ส่งผลให้เซียนพนันเฮกันไปหลายราย อาทิ เอเดรียน เฮย์เวิร์ด ที่วางเดิมพันไป 200 ปอนด์ (ประมาณ 8,800 บาท) ส่งผลให้ได้กลับมาถึง 25,000 ปอนด์ (ประมาณ 1.1 ล้านบาท) เลยทีเดียว
    7. ไทสัน โดนน็อกช็อกวงการกำปั้น
              ในการชกเมื่อปี 1990 ไมค์ไทสัน แชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวต เป็นต่อ เจมส์ บัสเตอร์ ดั๊กลาส ถึง 42-1 เนื่องจากฟอร์มในช่วงนั้นคงไม่มีใครคิดว่า "เจ้ามฤตยูดำ" จะแพ้ให้กับใคร  ดั๊กลาส ชนะน็อก ไทสัน ในยก 10 ทั้งๆ ที่ โดน "เจ้ามฤตยูดำ" อัดร่วงไปก่อนในยกที่ 8 ส่งผลให้กลายเป็นหนึ่งในคู่มวยที่พลิกล็อกที่สุดในโลก


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

7 นักเตะที่ต้องเจอฝันร้ายกับการมาเล่นให้ทีมใหม่ปีแรก แต่สุดท้ายสามารถโชว์ฟอร์มจนกลายเป็นตำนานของสโมสร


     1. ลูก้า โมดริช, เรอัล มาดริด - ฤดูกาลแรก 2012/13
            หลังจากที่โชว์ฟอร์มโดดเด่นใน พรีเมียร์ลีก มา 4 ปี โมดริช ก็ย้ายมาหากินใน ลา ลีกา สเปน แต่ฤดูกาลแรกของเขากลับต้องจบลงด้วยการถูกตราหน้าว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่แย่ที่สุดประจำปีของแดนกระทิงดุ  อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลต่อมา เขาก็เริ่มคืนฟอร์มเก่ง ช่วยให้ "ราชันชุดขาว" คว้าแชมป์เป็นว่าเล่น และได้รับการยกย่องว่า เป็นกองกลางที่ดีที่สุดในยุคนี้ โมดริช ได้ลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัย และได้แชมป์ทั้ง 3 ครั้ง รวมทั้งลงเล่นทุกนาทีทั้ง 3 แมตช์ด้วย
    2. ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา, เชลซี - ฤดูกาลแรก 2004/05
            เชลซี ยอมจ่ายเงินถึง 24 ล้านปอนด์ เพื่อดึง ดร็อกบา มาจาก มาร์กเซย เมื่อปี 2004 แต่ปีแรกของเขาในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ถือว่ายังไม่เปรี้ยงปร้างเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม หัวหอกไอวอรี่โคสต์ เริ่มครองใจแฟนบอล "สิงห์บลูส์" ได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยซัดไปกว่า 100 ประตูในลีก ระหว่างปี 2004-2012 รวมทั้งช่วยให้ เชลซี คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, คอมมิวนิตี้ ชิลด์ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้วทุกรายการ
    3. จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ลิเวอร์พูล - ฤดูกาลแรก 2011/12
            แม้ตอนนี้ เฮนเดอร์สัน อาจยังไม่ถึงขั้นที่จะถูกยกให้เป็นตำนานของ ลิเวอร์พูล แต่เขาก็ก้าวไปอยู่ในใจของ "เดอะ ค็อป" และเป็นกัปตันทีมแล้ว  เฮนโด้ ย้ายจาก ซันเดอร์แลนด์ มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในปี 2011 ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ และต้องเจอปัญหาในฤดูกาลแรก และเกือบจะโดนขายทั้งหลังจบซีซั่น โชคดีสำหรับ "หงส์แดง" ที่ เฮนเดอร์สัน ตัดสินใจไม่ย้ายไปอยู่กับ ฟูแล่ม ก่อนเริ่มฉายแววโดดเด่นเป็นหัวใจในแผงมิดฟิลด์ของทีม และติดทีมชาติอังกฤษ ไปแล้วกว่า 30 นัด
    4. ดาบิด เด เคอา, แมนฯ ยูไนเต็ด - ฤดูกาลแรก 2011/12
            นายทวารชาวสเปน ย้ายจาก แอต.มาดริด มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 17 .8 ล้านปอนด์ และต้องแบกความกดดันที่ต้องมาเป็นตัวแทนของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ซาร์ ซีซั่นแรกของเขาต้องเจอความยากลำบากและเสียงวิจารณ์ไม่น้อย โดยหลายคนเชื่อว่า เขาไม่สามารถปรับตัวได้กับ พรีเมียร์ลีก ที่ต้องเจอลูกบอมบ์ยาวตลอดเวลา อย่างไรก็ดี เด เคอา เริ่มโชว์ซูเปอร์เซฟออกมาเรื่อยๆ ในซีซั่นต่อมา จนถึงเวลานี้ ทำให้ได้รับการยกย่องอย่างมาก และมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของ พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 4 สมัย
    5. โรแบร์ ปิแรส, อาร์เซน่อล - ฤดูกาลแรก 2000/01
            ปิแรส ย้ายจาก โอลิมปิก มาร์กเซย มาอยู่กับ อาร์เซน่อล เมื่อปี 2000 ด้วยความหวังหนักอึ้งที่เขาต้องแบกอยู่บนบ่า เนื่องจากเข้ามาทดแทน มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ที่ย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ปีกชาวฝรั่งเศส ต้องเจอปัญหาในซีซั่นแรกกับการปรับตัวเล่นในลีกผู้ดีที่ต้องใช้พละกำลังอย่างมาก แต่เป็นเรื่องโชคดีต่อทั้งตัวเขาและ อาร์เซน่อล หลังจากที่ฤดูกาลต่อมา เขาก็เริ่มทำผลงานเยี่ยม และช่วยให้ "ปืนใหญ่" คว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ รวมทั้งได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากสมาคมนักข่าวฟุตบอลอีกด้วย
    6. แกเร็ธ เบล, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ - ฤดูกาลแรก 2007/08
              เบล ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มาอยู่กับ สเปอร์ส ในฐานะแบ็กซ้าย แต่ต้องเจออาการบาดเจ็บรบกวน และฟอร์มหลุด จนเป็นได้แค่ตัวสำรองของ เบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต้ ดาวเตะเวลส์ มาทำผลงานได้ดีในตำแหน่งปีกซ้าย และโชว์ฟอร์มสุดยอดด้วยการยิงแฮตทริกใส่ อินเตอร์ มิลาน ในฤดูกาลสุดท้ายก่อนที่ เบล จะย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด นั้น เขาระเบิดฟอร์มทำไปถึง 26 ประตูให้ "ไก่เดือยทอง" จนได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ พีเอฟเอ 
    7. ปาทริซ เอวร่า, แมนฯ ยูไนเต็ด - ฤดูกาลแรก 2005/06
              พี่ติ๊กของแฟนบอล "ปีศาจแดง" เจอปัญหาตลอดกับการรับมือคู่แข่งในปีแรกที่ย้ายมาเข้าถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดยเฉพาะนัดแรกที่ประเดิมสนามเจอ แมนฯ ซิตี้ จนต้องโดนเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่พักครึ่ง ตอนแรกดูเหมือนเขาจะไม่ใช่คนมาแก้ปัญหาแนวรับฝั่งซ้ายให้ทีม แต่สุดท้ายดาวเตะน้ำหอมก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จ และช่วยทีมคว้าแชมป์ 15 รายการ รวมถึง แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เอาชนะ เชลซี ในรอบชิงชนะเลิศ


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

10 อันดับนักเตะ พรีเมียร์ลีก ที่มีคนกดตามโซเชียลมากที่สุด


1. เมซุต โอซิล (อาร์เซน่อล) - 61 ล้านฟอลโลเวอร์
             เมซุต โอซิล เริ่มเตะฟุตบอลเมื่ออายุ 7 ขวบ และเพียง 13 ปีหลังจากนั้นก็ได้เป็นถึงแชมป์ยุโรป และมีคนรู้จักไปทั่วโลก ส่วนระดับสโมสร เนื่องจากเป็นคนพื้นที่เกลเซนเคียร์เช่น จึงเซ็นสัญญานักเตะอาชีพกับสังกัด ชาลเก้ 04 แต่ฝ่ายหลังกลับไม่เลือกปั้นเขา เพราะตอนนั้นมี ลินคอล์น ชาวบราซิล เป็นจอมทัพ แถมผู้มาแทนคือ อิวาน ราคิติช ซึ่งพวกเขาซื้อมาจากสวิตเซอร์แลนด์ เมซุต โอซิล จึงต้องย้ายมา แวร์เดอร์ เบรเมน อีกค่ายหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในการปั้นดาวรุ่งของวงการฟุตบอล
2. ดาวิด ลุยซ์ (เชลซี) - 51.5 ล้านฟอลโลเวอร์
            ลุยซ์ เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนของ เซา เปาโล ตั้งแต่อายุ 12 ปี โดยเขาได้เริ่มเล่นในตำแหน่งของกองกลางตัวรับ ซึ่งเหตุผลที่เขาเลือกตำแหน่งนี้เพราะในสโมสรมักจะไม่ค่อยมีคนเลือกลงเล่นในตำแหน่งนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็มักถูกถอยลงไปเล่นเป็นปราการหลังซะมากกว่า ซึ่งเมื่ออายุ 14 ปีเขาก็ได้ย้ายไปเล่นให้กับทีมเยาวชนของ วิคตอเรีย โดยที่นี่ก็เหมือนกับเป็นการแจ้งเกิดของปราการหลังจอมบุกชาว บราซิลเลี่ยน ผู้นี้เลยก็เป็นได้ เพราะเมื่อผ่านไป 5 ปี ฟอร์มของ ดาวิด ลุยซ์ ก็ไปเตะตาแมวมองของ สโมสร เบนฟิก้า ทีมยักษ์ใหญ่ในลีกของ โปรตุเกส และมันก็ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะที่หน้าจับตามองอย่างสุดๆทั่วยุโรปเลยทีเดียว
3.  เวย์น รูนี่ย์ (เอฟเวอร์ตัน) - 51.4 ล้านฟอลโลเวอร์
            กลายเป็นนักเตะวัยรุ่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก หลังจากที่เซ็นสัญญาย้ายจาก เอฟเวอร์ตัน มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวเกือบ 30 ล้านปอนด์  แต่ปัจจุบันได้กลับไปเล่นให้กับทีมเอฟเวอร์ตัน
4. เซร์คิโอ อเกวโร่ (แมนฯ ซิตี้) - 30 ล้านฟอลโลเวอร์
            เซร์คีโอ เลโอเนล อเกวโร่ เดล กัสตีโย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ กุน อะกูเอโร เกิดวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1988 เป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินาเชื้อสายเลบานอน เล่นตำแหน่งกองหน้าตัวรุกให้กับแมนเชสเตอร์ซิตี และฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา
5. ปอล ป็อกบา (แมนฯ ยูไนเต็ด) - 26.9 ล้านฟอลโลเวอร์
ปอล ลาบีล ปอกบา เกิดวันที่ 15 มีนาคม 1993 ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับยูเวนตุส สมโสรชื่อดังในกัลโช่ เซเรีย อา ซึ่งดาวเตะผิวสีจะเล่นได้ดีที่สุดคือตำแหน่งกองกลางตัวกลาง แต่ก็สามารถขยับไปเล่นกลางรุก และรับ ได้ตามสถานการณ์ ทั้งนี้ป็อกบา ได้รับคำนิยามจากแมนฯ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดเก่าว่าครบเครื่องทั้ง พละกำลัง, ฝีเท้า และ การสร้างสรรค์


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

เจลีกคือความท้าทาย "ทริสตอง โด" ขอทุ่มเทกับกิเลนและช้างศึกก่อน


ล่าสุด ทริสตอง โด แบ็กขวาลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส ได้เปิดใจถึงเรื่องดังกล่าวกับทีมงานฟุตบอลสยามว่า "รู้สึกดีที่มีคนเห็นความสามารถในตัวผม หลังจากที่ทาง Fox Sport เอเชีย สื่อกีฬาชื่อดัง ออกมากางโผ 5 แข้งจากภูมิภาคอาเซียนที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น และมีโอกาสลุ้นเดินตามรอย "เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ ไปค้าแข้งยังเจลีก ญี่ปุ่น ซึ่งโดยที่หนึ่งในนั้นมี ทริสตอง โด แบ็กขวาดีกรีทีมชาติไทยของทีม เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ติดโผเข้ามาด้วยนั้นและช่วงนี้ถือว่าอยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดีกับทั้งสโมสรฯและทีมชาติ โดยเจลีกเป็นลีกชั้นนำของทวีปเอเชีย ซึ่งก็ดีหากได้ไปเล่น แต่ทั้งนี้ขอโฟกัสฟอร์มการเล่นของตัวเองกับสโมสรฯและทีมชาติก่อน ถ้าหากมีโอกาสจริงก็อยากไปเล่น"
สำหรับ ทริสตอง สมชาย โด ( Tristan Do ) หรือทิดแต็ง โด ตามภาษาฝรั่งเศส เกิดวันที่ 31 มกราคม 2536 เป็นนักฟุตบอลลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส โดยมีคุณพ่อเป็นคนไทยและมีคุณแม่เป็นชาวฝรั่งเศส ทริสตอง โด เกิดที่ประเทศไทย และไปเติบโตที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตอนเด็ก ๆ มีสโมสรในดวงใจคือ เปแอสเช และขณะที่ทริสตอง โด เริ่มเล่นฟุตบอล ก็มีโรนัลดินโญ่ เป็นนักเตะในดวงใจ เพราะประทับใจที่โรนัลดินโญ่สามารถคุมลูกบอลไว้ที่เท้าได้เสมอ แต่ทริสตอง โด ก็ไม่คิดจะเลียนแบบไอดอลของเขา เพราะเขาคิดว่าสามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งตามที่โค้ชต้องการ ไม่ว่าจะเป็นกองหลัง กองกลาง หรือกองหน้า และ ก้าวแรกในการเข้าสู่วงการฟุตบอลของ ทริสตอง โด เริ่มจากเขาเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนติดทีมเยาวชนสตราสบูร์ก ก่อนได้ร่วมทีมชุดใหญ่ของลอริยองต์ และกาเซเลค อฌัคซิโอ ซึ่งต่อมาในปี 2014 บีอีซี เทโรศาสน ก็ดึงตัวกลับตัวมาเล่นที่ประเทศไทยพร้อมยื่นสัญญา 3 ปี ให้อยู่กับทีมต่อไปจนถึงปี 2018 นั่นเอง ซึ่งคาดว่าหลังจากหมดสัญญา ทริสตอง อาจจะไปค้าแข้งที่เจลีกเป็นได้

สำหรับ 5 ผู้เล่นจากย่านอาเซียนที่ ฟ็อกซ์ สปอร์ต เอเชีย คาดการณ์ว่ามีโอกาสลุ้นไปค้าแข้งยัง เจลีก ญี่ปุ่น ประกอบด้วย เหงียน คง เฟือง กองหน้าชาวเวียดนามของสโมสรฮองอันยาลาย, เจริง พลรถ กองกลางวัย 20 ปี ทีมชาติกัมพูชา, มูฮาหมัด อคายา กองกลางชาวมาเลเซียของสโมสร เคดาห์, รูฟิโน ดาวเตะวัย 19 ปี ชาวติมอร์เลสเต และ ทริสตอง โด แบ็คขวาทีมชาติไทยของสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments

เชลซีเล็งคว้าตัวดริงค์วอเตอร์


แดนนี ดริงค์วอเตอร์ กองกลางทีมชาติอังกฤษของ จิ้งจอกสยามเลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ตั้งเป้าช่วยให้ทีมไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก อีกครั้ง สำหรับทีมเลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลที่ผ่านมา ทำให้ฤดูกาลนี้พวกเขาได้มาลุยศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และฝ่าฟันมาจนถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนจะพ่าย แอตเลติโก มาดริด ไปด้วยสกอร์รวม 2 นัด 1-2 “ตอนนี้เราได้ลิ้มลองประสบการณ์นั้นแล้ว และเราต้องการมันอีก เกมกับแอตเลติโก มาดริด เรารู้สึกว่าเราสามารถกลับสู่เกมได้ และเราก็สร้างโอกาสได้ แต่ก็ถูกบล็อกไว้หมด เราพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็โชคร้าย และเป้าหมายในอนาคตคือการได้เล่นฟุตบอลยุโรปมากขึ้นเราไม่ได้แข่งถ้วยยุโรปในฤดูกาลหน้า แต่ผมเชื่อว่าเราสามารถต่อสู้ทุกอย่างในฤดูกาลหน้าเพื่อไปที่นั่นอีกครั้งได้ดริงค์วอเตอร์ กล่าว และมีข่าวมีข่าว "ปิศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หวังดึง "แดนนี ดริงค์วอเตอร์" มิดฟิลด์คนเก่งของ "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ แต่ไม่สำเร็จ
สื่อแดนผู้ดีตีข่าว เชลซี พร้อมรุกคืบคว้า แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ กองกลางชาวผู้ดีของ เลสเตอร์ ซิตี้ มาร่วมทัพช่วงตลาดนักเตะหน้าร้อนนี้ ทั้งเพื่อคุณภาพแดนกลาง และเพิ่มโควตานักเตะท้องถิ่น แม้ "สุนัขจิ้งจอก" ไม่น่าจะอยากปล่อยตัวแข้งชาวอังกฤษออกจากทีมก็ตาม "สกาย สปอร์ต นิวส์" สื่อชื่อดังของอังกฤษ รายงานข่าวว่า "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เตรียมเดินหน้ากระชาก แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ มิดฟิลด์ตัวเก่งของ เลสเตอร์ ซิตี้ คู่แข่งร่วมลีก มาเสริมความแข็งแกร่งในแดนกลางช่วงตลาดซื้อ-ขายนักเตะซัมเมอร์นี้  ยอดทีมแห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ซื้อนักเตะใหม่มาแล้ว 3 คนในตลาดนักเตะหน้าร้อน ตั้งแต่ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ปราการหลังทีมชาติเยอรมัน, ติเยมูเอ้ บากาโยโก้ กองกลางชาวฝรั่งเศส และ อัลบาโร่ โมราต้า ดาวยิงทีมชาติสเปน

    ล่าสุด มีรายงานจาก "สกาย สปอร์ต นิวส์" ว่า  ดริงค์วอเตอร์ เป็นหนึ่งในกองกลางที่ "สิงห์บลูส์" จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะตอนนี้ที่ อันโตนิโอ คอนเต้ ปล่อย เนมานย่า มาติช ไปซบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้ว แต่ทาง "จิ้งจอกสยาม" อาจไม่ขายนักเตะออกจากถิ่นคิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม  ทั้งนี้ ดริงค์วอเตอร์ ที่เพิ่งต่อสัญญากับต้นสังกัดอีก 4 ปี เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ย้ายจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาค้าแข้งกับ "สุนัขจิ้งจอก" เมื่อปี 2012 และลงสนามในลีกสูงสุดผู้ดีไปแล้ว 87 นัด ตั้งแต่เลื่อนชั้นปี 2014 มีส่วนสำคัญในการช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกแบบเซอร์ไพรส์ปี 2016

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS
0Comments